เรื่องที่ 22 เรื่องของบุตรพราหมณ์ทั้ง 4 ผู้ขมังเวทย์
ในสมัยบรรพกาล มีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า
ธรณีวราหะ ทรงปกครองนครปาฏลิบุตร ซึ่งมีพราหมณ์อาศัยอยู่มาก
พระราชาทรงอนุเคราะห์แก่พราหมณ์ทั้งหลายเป็นพิเศษ เรียกว่า พรหมสถล
และในนครนั้นเองมีพราหมณ์อีกผู้หนึ่งชื่อ วิษณุสวามิน
พราหมณ์ผู้นี้มีภรรยาผู้หนึ่งซึ่งเหมาะสมกับเขาเป็นพิเศษ
ราวกับเครื่องสังเวยเหมาะกับไฟฉะนั้น จำเนียรกาลผ่านไป
สองสามีภรรยามีบุตรชายด้วยกันสี่คน ต่อมาบุตรทั้งสี่เติบใหญ่เป็นหนุ่ม
และศีกษาพระเวททั้งสี่เจนจบ อยู่มามินานบิดาก็ไปสวรรค์ และมารดาก็ตามไปในเวลาถัดมา
ส่วนพราหมณ์หนุ่มทั้งสี่เมื่อสิ้นบิดามารดาแล้วก็อ้างว้างว้าเหว่ด้วยไร้ที่พึ่ง
มีญาติใกล้ชิดก็ถูกเขาโกงเอาทรัพย์สมบัติไปหมด ทั้งสี่คนจึงปรึกษาหารือกันว่า
“บัดนี้เราก็ยากจนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างน้ จะทนอยู่ต่อไปได้ไฉน
พวกเราควรจะไปพึ่งญาติฝ่ายแม่ของเราที่หมู่บ้านยัชญสถลดีกว่า”
ตกลงพร้อมกันดังนี้แล้ว ก็เดินทางไปพบผู้เป็นตาที่หมู่บ้านนั้น
แต่ปรากฎว่าตาตายไปแล้ว เหลือแต่ลุง ๆ ทั้งหลายผู้เป็นบุตร
ซึ่งพวกเขาก็ช่วยเหลือตามมีตามเกิด ให้ที่พักและอาหารกินตามสมควร
พราหมณ์ทั้งสี่มาอยู่บ้านผู้เป็นลุงแล้ว วัน ๆ ก็มิได้ช่วยทำอะไร
นอกจากอ่านพระเวทเพียงอย่างเดียว ต่อมามินาน
ลุงก็เริ่มรังเกียจเพราะเห็นพวกเขาเป็นคนอนาถาไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเลี้ยงดูต่อไปให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำ
จึงพากันละเลยไม่เอื้อเฟื้อข้าวปลาอาหารเครื่องนุ่งห่มและปัจจัยอื่น ๆ อีก
พราหมณ์ทั้งสี่เมื่อประสบกับความไม่อาลัยไยดีก็ช้ำใจว่าญาติกาไม่ดูแล
จึงประชุมกันลับ ๆ เพื่อหาทางอยู่รอด ขณะนั้นพี่ชายคนโตก็ออกความเห็นของตนว่า
“เราจะนิ่งงอมืองอเท้าต่อไปไม่ได้แล้ว ใครมีความเห็นจะให้ทำอะไรก็จงเสนอมาเถิด
แต่ถ้ายังคิดมิออก ข้าก็จะเล่าอะไรที่ข้าไปพบเห็นมา
เผื่อพวกเจ้าจะได้อาศัยเป็นแนวทางพิจารณาต่อไป
ข้ารู้ดีแล้วว่าชะตากรรมเป็นเพียงสิ่งที่ใคร ๆ จักหลีกเลี่ยงมิได้
มันกำหนดทุกสิ่งในโลกนี้ทั้งเวลาและสถานที่ตามครรลองของมัน ข้าจะเล่าให้ฟังว่า
วันนี้ข้าออกไปเดินเล่นนอกบ้านเพราะรู้สึกกลุ้มใจเต็มที
เมื่อข้าเดินผ่านป่าช้าในป่านอกเมือง ก็เห็นชายคนหนึ่งนอนตายอยู่พื้นดิน
มีแขนขาทอดออกไปคนละทิศละทาง เมื่อตอนที่ข้าแลเห็นเขา ข้าก็เกิดความอิจฉาเขา
และข้าพูดแก่ตัวเองว่า ชายคนนี้ช่างโชคดีนี่กระไร ได้นอนพักผ่อนอย่างสบาย
เพราะเขาหมดสิ้นภาระอันแสนเข็ญในโลกนี้แล้ว
เมื่อข้ารำพึงอย่างนี้ก็เกิดความคิดแวบขึ้นมาในสมองว่า ข้าควรจะตายอย่างเขาบ้าง
เมื่อคิดดังนี้ข้าก็เตรียมจะผูกคอตาย
จึงหาเชือกมาเส้นหนึ่งทำบ่วงคล้องคอผูกติดกับต้นไม้ต้นหนึ่ง
แล้วปล่อยตัวลงมาห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ ข้าถูกเชือกรัดคอแน่นจนทำให้ใกล้ะจหมดสติ
และกำลังตาเหลือกตาปลิ้นอยู่นั้น ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตยังไม่ยอมออกจากร่าง
ข้าก็ดิ้นสุดฤทธิ์จนเชือกขาด ทำให้ข้าหล่นตุ้บลงบนพื้นดิน
ต่อมามิช้าข้าก็เริ่มฟื้นคืนสติ ลืมตาขึ้นเห็นชายใจดีผู้หนึ่ง
กำลังพัดวีข้าอยู่ด้วยเสื้อของเขา เขากล่าวแก่ข้าว่า “สหายเอ๋ย
ท่านก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เหตุไฉนจึงยอมจำนนต่อชะตาเอาง่าย ๆ อย่างนี้เล่า
ท่านควรจะรู้ว่าความสุขนั้นเกิดจากการกระทำความดี และความทุกข์เกิดจากการทำชั่ว
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์และสุขโดยแท้
ถ้าหากความกลุ้มใจของบท่านเกิดจากความทุกข์
ทางแก้ก็คือจงเร่งกระทำความดีเสียแต่บัดนี้ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าทำไม
ท่านถึงโง่เขลาจนถึงกับฆ่าตัวตายอย่างนี้”
ด้วยคำพูดปลอบใจของชายผู้นั้นทำให้ข้าตาสว่างขึ้น
ส่วนชายที่ข้าไม่รู้จักชื่อผู้นั้นเห็นว่าหมดธุระกับข้าแล้วก็เดินทางจากไป
ส่วนข้าก็ตัดสินใจเด็ดขาดไม่คิดจะทำอัตวินิบาตกรรมอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นพวกเจ้าก็คงจะเห็นแล้วสิ ว่าถ้ายังไม่สิ้นกรรม
การที่คิดจะยุติผลของกรรมโดยฆ่าตัวตาย ก็ไม่มีทางสำเร็จ บัดนี้ข้าติดสินใจแล้วว่า
ข้าจะจาริกแสวงบุณย์ไปนมัสการแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
แล้วจากนั้นข้าก็จะบำเพ็ญตบะอย่างยิ่งยวด เพื่อข้าจะได้บรรลุมรคผลอันสูงสุด
ไม่กลับมาสู่ชีวิตอันทรมานเช่นนี้อีกต่อไป”
เมื่อพี่ชายใหญ่กล่าวเช่นี้ น้องชายคนรองก็กล่าวขึ้นว่า
“ท่านพี่ที่เคารพ ท่านก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม ไฉนจึงเป็นทุกข์เป็นร้อนนักหนา
เพียงสาเหตุนิดเดียวคือความจนเท่านั้น พี่ไม่รู้หรือว่า
ความมั่งมีนั้นก็เฉกเช่นเมฆที่ลอยผ่านไปในฤดูสารท (ฤดูใบไม้ร่วง)
ใครบ้างเล่าที่จะรักษาทรัพย์ไว้ได้ตลอดกาล
หรือสามารถทำให้หญิงเจ้าเลห์หยุดมายาสาไถยได้
ดังนั้นคนฉลาดพึงพิจารณาความมั่นคงจริงใจในทุก ๆ สิ่ง
และเราควรแสวงหาสิ่งนี้เท่านั้น” พี่ชายหใญ่เมื่อได้ฟังถ้อยคำของน้องก็นิ่งอยู่
ในที่สุดทั้งสี่คนก็แยกทางไปแสวงหาคำตอบ และนัดพบกันในภายหน้าที่จุด ๆ หนึ่ง
เมื่อแยกทางกันไปนั้นคนหนึ่งไปทิศตะวันออก ตะวัน ตก เหนือและใต้
เวลาผ่านไป
ในที่สุดชายทั้งสี่กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งที่สถานที่นัดพบซึ่งตกลงกันไว้
และถามซึ่งกันและกันว่าใครไปเรียนรู้อะไรมาบ้าง ชายคนหนึ่งตอบว่า
“ข้าได้เรียนรู้มายาศาสตร์อันเร้นลับ
คือถ้าข้าได้พบกระดูกแม้น้อยชิ้นของสัตว์ใดก็ตาม
ข้าก็จะสามารถทำให้เกิดเป็นเนื้อของสัตว์ชนิดนั้นขึ้นมาได้ทันที”
ชายอีกคนหนึ่งเมื่อได้ฟังถ้อยคำของชายคนแรกก็กล่าวว่า
“เมื่อใดที่ข้าเห็นเนื้อสัตว์เกิดขึ้นมาติดกระดูก
ข้าก็จะสามารถทำให้เกิดหนังและขนของสัตว์นั้นได้ทันทีเหมือนกัน”
ชายคนที่สามได้ยินก็กล่าวว่า “ถ้าข้าได้เห็นหนังและขนของสัตว์นั้น
ข้าก็จะสร้างแขนขาของมันขึ้นมาได้ชั่วพริบตาเดียว”
ชายคนที่สี่เมื่อได้ฟังคำพูดของสามคนโอ้อวดวิชาดังนั้นก็พูดว่า “เมื่อกระดูก เนื้อ
หนัง ขน และแขนขาของสัตว์ที่ตายแล้วตัวนั้นบังเกิดขึ้นครบถ้วน
ข้าก็สามารถทำให้สัตว์นั้นมีชีวิตขึ้นมาได้”
เมื่อต่างก็กล่าวโอ้อวดความสามารถของตนดังนั้นแล้ว
ทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันเข้าป่า เพื่อเสาะหากระดูกสัตว์มาทดลองดังที่พูดกันไว้
ปรากฎว่าคนเหล่านั้นได้พบกระดูกชิ้นส่วนของสิงโตเข้าชิ้นหนึ่ง
ก็หยิบเอาไปโดยหารู้ไม่ว่าเป็นกระดูกของสัตว์ชนิดใด
เมื่อเอาไปแล้วชายคนแรกก็เสกมนตร์ทำให้เกิดเนื้อขึ้นมาหุ้มกระดูกอย่างถูกต้อง
ชายคนที่สองก็ร่ายมนตร์ประจุหนังและขนลงไปตามตำแหน่งของมัน
ชายคนที่สามทำให้เกิดอวัยวะแขนขาขึ้น และคนที่สี่ก็ร่ายมนตร์ทำให้มันมีชีวิตขึ้น
สิงโตก็ลุกขึ้นผงาดและคำรามด้วยเสียงอันดัง
แสดงพลังของไกรสรสีหราชผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย
ปากของมันอ้ากว้างให้เห็นฟันและเขี้ยวอันแหลมคม
และเหยียดเท้าออกแสดงให้เห็นกรงเล็บอันแหลมคมในอุ้งเท้าทั้งสี่
ในชั่วพริบตานั้นเองมันก็กระโจนเข้าใส่สี่ชายพี่น้องและฆ่าตายหมดทุกคน
แล้วก็เดินเลียลิ้นหายเข้าป่าไป นี่แหละจะเห็นได้ว่า
ถึงพราหมณ์ทั้งสี่จะมีวิทยาการอันเลิศถึงกับชุบชีวิตสัตว์ขึ้นจากกองกระดูกได้
แต่ความโง่เง่าในสันดานทำให้เขาไปชุบชีวิตสิงโต
แลเจ้าป่านั้นก็ไม่รู้จักว่าความกตัญญูคืออะไร มันจึงขย้ำเขาเสียอย่างดุร้าย
เหมือนมัจจุราชมาคร่าชีวิตอย่างไร้ความเมตตาฉะนั้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโชคชะตานันกำหนดชีวิตและความเป็นไปให้แก่มนุษย์
บางครั้งแม้มนุษย์จะประสบผลสำเร็จในกิจการที่ต้องลงทุนด้วยความพากเพียรบากบั่นแทบล้มประดาตาย
แต่ชะตากรรมกลับอนวยผลให้แก่เขาด้วยความเจ็บปวด แม้กระทั่งนำความตายมาให้ในที่สุด
เมื่อเวตาลซึ่งนั่งสบายอยู่บนพระอังสาของพระเจ้าตริวิกรมเสนเล่าเรื่องจบลงระหว่างเดินมาตามทางในราตรีนั้น
ก็พูดขึ้นว่า “ราชะ ในบรรดาชายสี่คนที่เล่ามานัน
ใครเป็นผู้ผิดที่สร้างสิงโตตัวนั้นขึ้นมา
ทำให้ผู้อื่นรวมทั้งตัวเองต้องถูกฆ่าตายหมด โปรดบอกข้ามาเร็ว ๆ
และอย่าลืมกติกาว่าถ้ารู้แล้วไม่ตอบอะไรจะเกิดขึ้น”
เมื่อพระราชาได้ฟังเวตาลกล่าวดังนั้นทรงรำพึงว่า “อ้ายผีตัวนี้
อยากจะให้ข้าพูดเพื่อทำลายความเงียบ และถือโอกาสหนีไปตามเคย
แต่ช่างเถอะข้ายินดีจะไปลากตัวมันกลับมาเอง” หลังจากที่ทรงตัดสินพระทัยแล้ว
ก็ตรัสแก่เวตาลว่า “ชายคนหนึ่งในหมู่ชายทั้งสี่นั้น
ผู้ซึ่งร่ายมนตร์ให้สิงโตมีชีวิตขึ้นมานั่นแหละที่เป็นคนผิด
เพราะคนอื่นอีกสามคนนั้นเพียงแต่ร่ายมนตร์ขึ้นเพื่อให้เกิดเนื้อ หนัง ขน และแขนขา
โดยไม่รู้ว่าตนกำลังสร้างสัตว์ชนิดใดขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ผู้ผิด
เพราะเขาเพียงแต่โง่เขลาตามสันดานเท่านั้น แต่ชายคนนี้ (คือคนที่สี่)
เขารู้และเห็นอจู่แล้วว่ามันเป็นสัตว์อะไร กลับไปให้ชีวิตมัน
โดยจะอวดวิชาของตนเท่านั้น เขาจึงผิดเต็มประตู
เพราะเป็นต้นเหตุแห่งความตายของทุกคน”
เวตาลเมื่อได้ฟังคำตอบจากพระราชาดังนั้น
ก็หายวับไปจากพระอังสาของพระองค์ด้วยมายาเวทที่ตนชำนิชำนาญ และกลับไปอยู่บนต้นอโศก
ทำให้พระเจ้าตริวิกรมเสนต้องเสด็จกลับไปเอาตัวมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง