เรื่องที่ 14 เรื่องของนางรัตนาวดี บุตรีเศรษฐี ผู้หลงรักโจร
พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปยังต้นอโศก
ปลดเวตาลลงจากกิ่งเหวี่ยงขึ้นพระอังสา เดินย้อนกลับตามทางเดิม
มาได้ครู่หนึ่งเวตาลก็กล่าวขึ้นว่า "ราชะ ดูพระองค์จะทรงเหน็ดเหนื่อยอยู่
ถ้ากระไรเพื่อมิให้ต้องเบื่อหน่ายเกินไปเพราะหนทางยังอยู่อีกไกล
ข้าจะเล่าเรื่องสนุกให้ทรงฟังสักเรื่องหนึ่ง จะโปรดว่าอย่างไร"
เมื่อเห็นพระราชาไม่ตอบ เวตาลจึงเล่าเรื่องนิทานดังนี้
มีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อเมืองอโยธยา
อันได้ชื่อว่าเป็นที่ประทับขององค์พระวิษณุเป็นเจ้าครั้งที่ทรงอวตารลงมาเกิดเป็นพระราม
(ปรากฏเรื่องเราวในนารายณ์อวตารปางที่ ๗) ผู้ทรงทำลายเหล่ารากษสให้พินาศย่อยยับไป
(รากษสนั้นคือ ทศกัณฐ์กับพวกพ้อง)
นครนี้มีพระราชาผู้เกรียงไกรทรงนามวีรเกตุเป็นผู้ครองอยู่
ในเมืองนั้นมีนายวาณิชมหาเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ รัตนทัตต์เป็นไวศยบดี
(หัวหน้าของพ่อค้าทั้งหลาย) แห่งพ่อค้าทั้งปวง มีภรรยาชื่อ นันทยันตี
และมีธิดาชื่อรัตนวดี ซึ่งเทพทั้งหลายประทานให้มาเกิดในตระกูลของคนทั้งสอง
นางรัตนวดีเจริญวัยขึ้นด้วยความฟูมฟักถนอมของบิดาและมารดา
นอกจากมีสิริโฉมเป็นเลิศแล้วยังมีความเรียบร้อยน่ารักอีกด้วย
ความงามของนางเป็นที่จับใจของบุรุษทั้งหลาย
ฉะนั้นจึงมีผู้ชายมารักใคร่นางและสู่ขอนางเป็นภรรยา
ไม่แต่เพียงบรรดาไวศยะตระกูลใหญ่ ๆ เท่านั้น แม้ราชาทั้งหลายก็หลงใหลใฝ่ฝันในตัวนาง
อยากจะได้เป็นชายาด้วยกันทั้งสิ้น แต่นางมิได้ปลงใจรักใคร่บุรุษใดเลย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อเป็นองค์อัมรินทร์นางก็ไม่ปรารถนา
และประกาศเจตนาของนางอย่างเด็ดเดี่ยวว่า นางยินดีตายเสียดีกว่าจะคิดแต่งงานกับใคร
พฤติกรรมของนางทำให้ไวศยะผู้บิดาบังเกิดความเศร้าใจ แต่ก็ไม่เคยขัดใจนางในเรื่องนี้
และข่าวคราวของนางนั้นก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปทั้งนครอโยธยา
ในกาลนั้นปรากฏว่าพวกราษฎรชาวเมืองถูกโจรปล้อนสะดมติดต่อกันบ่อย ๆ
ประชาชนผู้เดือดร้อนจึงมาชุมนุมกันเรียกร้องต่อพระราชาวีรเกตุให้ช่วยเหลือ
โดยกล่าวว่า
"ข้าแต่นฤบดี พวกเราทั้งหลายมีความเดือดร้อนยิ่งนัก
เพราะมีโจรมาปล้นแทบทุกคืน และเราก็จับมันไม่ได้
ขอพระองค์โปรดทรงช่วยเหลือด้วยเถิด"
เมื่อพระราชาได้ฟังคำร้องทุกข์ของราษฎร ก็สั่งให้วางยาม
แต่งตัวปลอมเป็นชาวเมืองแยกย้ายกันไปเฝ้าในจุดต่าง ๆ เพื่อจับโจรมาลงโทษ
แต่เวลาผ่านไปช้านานก็ยังจับโจรไม่ได้
การปล้อนสะดมอันอุกอาจก็ยังเกิดขึ้นเป็นประจำทุกคืน
ดังนั้นพระราชาจึงต้องปลอมพระองค์ออกไปดูเหตุการณ์ด้วยพระองค์เองในคืนวันหนึ่ง
ขณะที่พระราชาทรงถืออาวุธด้อมมองมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งในพระนครนั้น
ก็เจอชายคนหนึ่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างถนนข้างหน้า มีกิริยาชวนให้สงสัย
เพราะเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลกเป็นพิรุธ พระราชาแลเห็นดังนั้นก็สะกดรอยตามไปห่าง ๆ
ทรงรำพึงว่า "เจ้านี่คงจะเป็นโจรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันกำลังมองหาทางเข้าบ้านเพื่อจะตัดช่องย่องเบาเอาทรัพย์ของชาวบ้านแน่ ๆ"
คิดดังนี้แล้วก็ทรงเร่งฝีเท้าติดตามไปทันที ฝ่ายโจรเหลียวกลับมาเห็นเข้าก็ถามว่า
"เจ้าเป็นใคร" พระราชาแสร้งตอบว่า "ข้าเป็นโจรน่ะซิ" บุรุษนั้นได้ฟังก็กล่าวว่า
"เหมาะทีเดียว ข้าได้เพื่อนร่วมทางของข้าแล้ว คือเจ้านี่เอง
เพราะเจ้ามีอาชีพอย่างเดียวกับข้า ไปบ้านข้าเถอะ ข้ายินดีต้อนรับเจ้า"
เมื่อได้ยินโจรกล่าวดังนั้น พระราชาก็ตอบตกลง
และติดตามโจรไปยังที่อยู่ของมัน ซึ่งเป็นห้องใต้ดินอยู่ลึกเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง
ห้องนัั้นตกแต่งงดงามตระการตาด้วยของมีค่าราคาแพงทั้งสิ้น
เมื่อกระทบแสงตะเกียงก็สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ
ดูราวกับเป็นสวรรค์ใต้บาดาลอีกแห่งหนึ่งซึ่งพลี (พลี
เป็นพญาอสูรตนหนึ่งเคยราุกรานมนุษย์และเทวดาจนสามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ครอบครองทั้ง ๓
โลก แต่ในที่สุดถูกรพระนารายณ์อวตาลเป็นพราหมณ์เตี้ย (วามนาวตาร)
มาปราบพลีถูกไล่ลงไปครองบาดาลอันเป็นเสมือนสวรรค์ใต้ดิน
และได้รับคำมั่นสัญญาจากพระวิษณุว่า
ถ้าทำตัวดีต่อไปภายหน้าจะให้เป็นพระอินทร์อีกครั้ง) มิได้เป็นเจ้าของฉะนั้น
ฝ่ายพระราชา
เมื่อเสด็จเข้าไปในนิวาสสถานของโจรแล้วก็ทรงแลดูโดยรอบ
และนั่งลงบนพื้นที่ปูลาดด้วยพรมอันงามวิจิตร
ในขณะที่นายโจรเดินหายเข้าไปในห้องชั้นใน
มีนางทาสผู้หนึ่งเดินออกมาและกล่าวแก่พระราชาว่า
"โอ วีระ ท่านเข้ามาในที่นี้ทำไม
รู้ไหมว่านี่เป็นปากแห่งมฤตยูแท้เทียว ชายคนที่ท่านตามมานี้เป็นมหาโจรจอมโหดคนหนึ่ง
ประเดี๋ยวเขาออกมาจากห้อง เขาจะจัดการกับท่านอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าขอเตือนท่านว่า
โจรคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล มีอุบายสารพัด จงรีบหนีไปโดยเร็วเถิด"
พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็รีบเสด็จกลับวังทันที
เมื่อถึงวังแล้วก็เรียกทหารมีฝีมือพวกหนึ่งมาประชุม
สั่งให้เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ทรงนำทหารไปจุดช่องทางเข้าสำนักโจรและเรียงรายล้อมเอาไว้ทุกด้าน
ฝ่ายโจรเมื่อรู้ว่าสำนักถูกล้อมก็รู้ว่าความลับของตนแตกเสียแล้ว
ก็วิ่งถลันออกมาต่อสู้อย่างยอมตายถวายชีวิต
เมื่อนายโจรออกมาเผชิญหน้ากับกองทหาร
ก็ร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ป้องกันตนเอง
และกวัดแว่งดาบฟันฉับลงที่งวงช้างจนขาดกระเด็นแล้วฟันขาม้าจนขาดสะบั้น
จากนั้นก็เด็ดศีรษะทหารที่รุมล้อมด้วยอาวุธอ้นคมกริบ
พระราชาและเห็นความอุกอาจกล้าหาญของโจรใจฉกาจเช่นนั้นก็กวัดแว่งขรรคาวุธคู่พระหัตถ์ปราดเข้ารับมือโจรทันที
ทรงใช้ฝีมืออันชำนาญคล่องแคล่วจนโจรเสียท่าหงายหลังลงกับพื้น
แล้วทรงเหยีบบร่างมันไว้ จับมัดมือไขว้หลังลากถูลู่ถูกังกลับวัง
และให้ริบทรัพย์สมบัติบรรดามีของโจรเข้าเก็บไว้ในท้องพระคลังหลวง
ทรงพิจารณาว่าโจรนั้นได้ก่อกรรมทำเข็ญต่อราษฎรมาแล้วมากมาย
จึงตัดสินให้ประหารชีวิตเสีย โดยเอาไปเสียบเสียในวันรุ่งขึ้น
เมื่อได้เวลาประหาร
โจรก็ถูกมัดเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับมีกองทหารรัวกลองเป็นจังหวะติดตามไป
พาไปสู่ตะแลงแกงที่ประหาร ระหว่างทางที่ผ่านไป
นางรัตนวดีลูกสาวเศรษฐีเปิดหน้าต่างปราสาทมองลงมา
แลเห็นโจรหนุ่มมีร่างอันเปรอะเปื้อนด้วยโลหิตและมอมแมมไปด้วยฝุ่น
ก็บังเกิดความสงสารและความพิศวาสในฉับพลัน
นางจึงวิ่งเข้าไปหาบิดาอย่างร้อนรนและกล่วกระหืดกระหอบว่า "ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย
ข้าเห็นนายโจรถูกตระเวนผ่านไปเดี๋ยวนี้ ข้ารักเขา ข้าเลือกเขาเป็นสามีแล้ว
แต่เขากำลังจะถูกนำไปสู่ตะแลงแกง พ่อต้องเอาเงินไปไถ่ตัวเขาให้เป็นอิสระ
ถ้าพ่อไม่ทำตามใจข้า ข้าจะยอมตายพร้อมกับเขาในวันนี้แหละ"
รัตนทัตต์เศรษฐีได้ฟังนางกล่าวก็ประหลาดใจ กล่าวว่า
"ลูกเอ๋ย เจ้าเอาอะไรมาพูด แต่ก่อนนี้ผู้ชายทั้งรูปงาม
มีทรัพย์และมีคุณธรรมมากมายหลายคน มางอนง้อต่อเจ้าเลือกเขาเป็นสามี เจ้าก็ไม่ไยดี
ปฏิเสธไปหมดทุกราย มาบัดนี้เจ้ากลับมาเลือกโจรต่ำช้าเป็นสามี
เจ้าคิดอย่างไรเล่าลูกเอ๋ย"
ถึงแม้บิดาจะคัดค้านและเตือนสติมากมาย
แต่นางก็ยืนกรานความปรารถนาของนางอย่างดื้อดึง และไม่ยอมเปลี่ยนใจ
จนในที่สุดเศรษฐีก็ใจอ่อน รีบไปเฝ้าพระราชา
ทูลขอไถ่ตัวนักโทษด้วยเงินจำนวนมหาศาลหลายร้อยโกฏิ แต่พระราชาก็ไม่ทรงฟัง
เพราะโจรผู้นี้ได้ปล้นสะดมทรัพย์สินราษฎรมาแล้วเป็นมูลค่ามหาศาล
และทำร้ายผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน
ยิ่งกว่านั้นกว่าจะจับมันมาได้พระองค์ต้องเสี่ยงเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จงไม่สามารถจะปล่อยโจรให้เป็นอิสระได้
เศรษฐีได้ฟังคำปฏิเสธจากพระราชาดังนั้น
ก็เดินคอตกกลับมาบ้านด้วยความผิดหวัง
นางรัตนวดีแจ้งว่าบิดาทำงานไม่สำเร็จก็ประกาศยืนยันเจตนาของนางว่า
นางยินดีจะตายตาโจรหนุ่มไปปรโลกโดยไม่อาลัยต่อชีวิต
ไม่ว่าบิดาหรือญาติพี่น้องจะเกลี้ยกล่อมเพียงใดก็ตาม
นางจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวแล้วขึ้นวอมีสัปทนกางกั้นตรงไปสู่ลานประหารโดยด่วน
มีบิดามารดากับญาติติดตามไปด้วยความเป็นห่วง ต่างคนต่างเศร้าโศก
เพราะรู้ว่าคงจะไม่ได้พบหน้านางอีกต่อไป
ก่อนที่ขบวนของเศรษฐีจะเดินทางไปถึง
นายโจรก็ถูกเสียบประจานอยู่บนขาหยั่งแล้ว
และลมหายใจกำลังแผ่วลงทุกทีใกล้จะถึงแก่ความตาย
เมื่อเห็นนางรัตนวดีพร้อมด้วยกลุ่มผู้ติดตามเดินเข้ามายังลานประหารก็ประหลาดใจ
จึงไต่ถามจนทราบความจริงแล้วก็ร้องไห้ต่อหน้าคนทั้งหลาย
สักครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะแล้วขาดใจตาย
นางรัตนวดีตรงเข้ากอดร่างของโจรด้วยความอาลัย แล้วให้นำโจรลงจากที่ประหาร
พาไปยังกองไฟที่ก่อขึ้น วางร่างโจรลงบนจิตกาธาน
แล้วขึ้นไปนอนเคียงข้างกันในท่ามกลางกองไฟอันลุกโชติช่วงโดยรอบ
ทันใดนั้น
องค์พระศิวะวิสุทธิเทพผู้ประทับอยู่ในสุสานโดยไม่มีใครมองเห็น
ก็เปล่งเสียงดังได้ยินมาทางอากาศว่า "อะโห เจ้าผู้เป็นปดิวรัดาช่างมีใจภักดี
ยากจะหาใครเสมอเหมือน เจ้าจงเลือกขอพรต่อข้าเถิด
ข้าจะให้เจ้าสมความปรารถนาทุกประการ"
เมื่อนางรัตนวดีได้ยินสำเนียงทิพย์ดังนั้น
ก็ยกมือกระทำอัญชลีต่อพระผู้เป็นเจ้า และทูลขอพรว่า "ข้าแต่พระมเหศวร
บิดาของหม่อมฉันเป็นคนไร้บุตรชายที่จะสืบสกุล
ขอโปรดประทานพรให้ท่านมีบุตรชายสักร้อยคนเถิด เพราะถ้าท่านไม่มีบุตรชาย
และข้าสิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านก็คงจะต้องตายตามหม่อมฉันไปอย่างแน่นอน"
พระผู้ทัดจันทร์เป็นปิ่น (พระจันทรเศขร
พระศิวะเอาพระจันทร์มาเสียบเป็นปิ่นปักพระเมาลี
หลังจากยุติข้อพิพาทระหว่างพระจันทร์กับพระพฤหัสบดีเรื่องนางดาราแล้ว
เพราะจะช่วยให้พระจันทร์ได้เข้าสู่เทวสภาอีกครั้งหนึ่ง)
ได้ฟังคำนางก็สบพระทัยยิ่งนัก ตรัสว่า
"เอาเถิด ข้าจะให้บิดาของเจ้ามีลูกชายร้อยคน
จงขอพรอีกข้อหนึ่งเถิด
เพราะหญิงที่ประเสริฐสุดอย่างเจ้าสมควรจะได้อะไรที่เจ้าเห็นสมควรอีก ข้าจะให้เจ้า"
เมื่อได้ฟังเทวดำรัสเช่นนี้ รัตนวดีโฉมงามจึงกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด
หากจะทรงเมตตาแก่หม่อมฉันแล้วไซร้ ขอได้โปรดชุบชีวิตของสามีหม่อมฉันด้วยเถิด
ให้เขาได้ดำรงชีวิตเป็นคนดีสืบไปชั่วกาลนาน"
เมื่อพระศัมภู (พระผู้มีความสุข
เป็นพระฉายานามหนึ่งในจำนวน ๑,๐๐๐ นาม ของพระศิวะ)
ได้ฟังถ้อยคำของนางก็ตรัสตอบมาโดยอากาศ อันใคร ๆ หาได้แลเห็นพระองค์ไม่ว่า
"จงเป็นเช่นนั้นเถิด ขอให้สามีของเจ้าจงลุกออกมาจากกองไฟ
และมีชีวิตอีกครั้งหตึ่ง ขอให้เขาประพฤติตนเป็นคนดีสืบไป
และให้พระราชาวีรเกตุยกโทษให้แก่เขาด้วยเถิด"
ทันใดนั้น นายโจรก็ลุกออกมาจากกองไฟ มีชีวิตและปราศจากบาดแผลทั้งปวงในร่างกาย
เศรษฐีรัตนทัตต์แลเห็นภาพอัศจรรย์ที่นายโจรและธดาของตนรอดชีวิตมาทั้งคู่
บรรดาญาติทั้งหลายทีี่่มาชุมนุม ณ ที่นั้นก็มีความพิศวงตื่นเต้นไปตามกัน
เมื่อกลับเข้าในปราสาทที่พำนักแล้ว เศรษฐีก็จัดการเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่
และทำพิธีบวงสรวงองค์พระศิวะที่ได้ประทานพรแก่ตนและวงศ์ตระกูล
ให้มีลูกชายเกิดมาถึงร้อยคน พระราชาวีรเกตุก็เช่นเดียวกัน
แลเห็นว่าโจรผู้มีฝืมือนั้นได้กลับตัวเป็นคนดีแล้วก็โปรดให้เข้ามาเฝ้า
ทรงแต่งตั้งเป็นยอดขุนพลประจำกองทัพ
และโปรดให้ทำพิธีแต่งงานระหว่างยอดขุนพลกับนางรัตนวดีอย่างสมเกียรติ
ฝ่ายเวตาลผู้นั่งอยู่บนอังสาของพระเจ้าตริวิกรมเสนเล่านิทานของตนจบลงแล้ว
ก็ทูลถามปัญหาต่อพระราชา
โดยคุกคามให้พระองค์ตระหนักในคำสาปอย่างที่เคยขู่มาแล้วทุกครั้งว่า
"โอ ราชะ โปรดตอบหน่อยเถิดว่า
เหตุใดนายโจรผู้ถูกเสียบประจานนั้น เมื่อเห็นนางรัตนวดีและบิดาของนางเดินเข้ามาหา
จึงแสดงอาการประหลาดคือ ร้องไห้ในตอนแรกและหัวเราะในตอนหลัง"
พระราชาได้ฟังก็ตรัสว่า
"นายโจรร้องไห้เพราะตระหนักในบุญคุณของเศรษฐีที่ยอมสละทรัพย์หลายสิบโกฏิเพื่อจะไถ่โทษตน
ซึ่งน้ำใจเช่นนี้ตนหาได้มีโอกาสจะทดแทนได้ไม่ ส่วนนางรัตนวดีนั้นเล่า
ช่างน่าขำนักที่นางมีโอกาสจะได้อภิเษกกับพระราชาทั้งหลาย แต่ก็กลับปฏิเสธไปหมด
นางมาเลือกเราเด้วยประโยชน์อันใดเล่า หัวใจของผู้หญิงนี้หนอ
ช่างลึกลับซับซ้อนดังเขาวงกต ใครเล่าจะเข้าใจได้
เมื่อพระราชาตรัสดังนี้
เวตาลผู้ทรงพลังก็ใช้มนตร์วิเศษของตน บันดาลกายหายวับไปกับตา
ปล่อยให้พระราชาต้องเหน็ดเหนื่อยพระทัย
เสด็จกลับไปยังต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวมันมาไว้ที่พระอังสาตามเดิม